กินเที่ยวปลอดภัย ป้องกันตับอักเสบเอ |
ระยะนี้เป็นช่วงเวลาที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อน ซึ่งสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งจะเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคหลายชนิด ประกอบกับช่วงนี้ เป็นฤดูแห่งการท่องเที่ยว
ประชาชนทั่วไปที่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้าน รวมถึงนักท่องเที่ยวที่นิยม เดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ จึงอาจเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะได้ โดยเฉพาะโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ที่มีแนวโน้มมีจำนวน ผู้ป่วยสูงขึ้น
จากข้อมูลเฝ้าระวังโรค สำนักระบาดวิทยา รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 13 กุมภาพันธ์ 2560 พบผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบ เอ 94 ราย ยังไม่มีการรายงานพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ แต่พบจังหวัดที่มีรายงานผู้ป่วยมากในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 27 ราย สมุทรสงคราม 18 ราย และชลบุรี 7 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือ 35 - 44 ปี (27.66%) 25 - 34 ปี (24.47%) และ 45 - 54 ปี (17.02%) โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการเป็นไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดบริเวณท้องด้านขวาส่วนบน จากนั้นจะเริ่มมีปัสสาวะสีเข้ม อุจาระสีซีด ตัวเหลือง ตาเหลือง เหล่านี้จะเป็นประมาณ 2 สัปดาห์หรืออาจนานถึง 6 เดือน ผู้ที่เคยติดเชื้อไปแล้วจะมีภูมิคุ้มกันและจะไม่เป็นซ้ำอีก
สำหรับการติดต่อ จะติดต่อโดยการรับประทานอาหาร-น้ำดื่มที่ปนเปื้อนอุจจาระที่มีเชื้อที่ขับถ่ายจากผู้ป่วย เนื่องจากเชื้อจะเจริญเติบโตในตับและจะถูกขับออกทางน้ำดีและอุจจาระ จะไม่ติดต่อทางน้ำลายหรือปัสสาวะ และเชื้อจะตายเมื่อโดนความร้อนด้วยการต้มหรือหุงที่อุณหภูมิ 85 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 1 นาที ส่วนด้านการรักษา ปัจจุบันยังไม่มียารักษาเฉพาะ แต่สามารถรักษาแบบประคับประคองที่บ้านเองได้โดยดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการรับประทานยาหรือสารใดๆ ที่มีผลเสียต่อตับ งดกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากๆ ขณะเดียวกันก็ควรรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน ยึดหลัก "สุก ร้อน สะอาด" บริโภคอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดหรือผ่านความร้อนมาแล้ว ล้างมืออย่างถูกวิธี ควบคู่กันไปด้วย
ทั้งนี้ สิ่งที่มีประสิทธิภาพมากในการป้องกันการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบ เอ คือการฉีดวัคป้องกันก่อนการติดเชื้อ และการกำจัดสิ่งปฏิกูลอย่างถูกต้อง เหมาะสมก็มีความสำคัญในการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคด้วยเช่นกัน